วันพฤหัสบดี, 23 ตุลาคม 2025 | 4 : 24 pm
วันพฤหัสบดี, 23 ตุลาคม 2025 | 4:24 pm

เศรษฐกิจติดหล่ม: เร่งเครื่องกระตุ้นแค่ระยะสั้น แต่ลืมเติมน้ำมันระยะยาว

เศรษฐกิจติดหล่ม: เร่งเครื่องกระตุ้นแค่ระยะสั้น แต่ลืมเติมน้ำมันระยะยาว สถานการณ์เศรษฐกิจไทยที่กำลังเผชิญกับความท้าทายอย่างหนัก ถูกเปรียบเทียบจาก ดร. เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ว่าเป็นเหมือน “รถที่ติดหล่ม” ซึ่งสภาพคล่องกำลังเหือดหายคล้าย “น้ำมันจะหมด” คำเปรียบเทียบนี้สะท้อนปัญหาเชิงโครงสร้างที่สั่งสมมานาน ไม่ว่าจะเป็นการเติบโตที่ชะลอตัว การลงทุนที่ลดลง และปัญหาการขาดแคลนแรงงานที่มีทักษะ

สัญญาณเตือนสำคัญล่าสุดได้มาจาก “กรมสรรพสามิต” ซึ่งมีรายงานการจัดเก็บรายได้ภาษีในภาพรวมเบื้องต้นว่า สามารถทำได้กว่า 537,500 ล้านบาท ตัวเลขนี้แม้จะสูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า 13,900 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 2.7% และยังสูงกว่าเป้าหมายที่ปรับปรุงใหม่ที่ตกลงกับกระทรวงการคลังแล้วกว่า 2,500 ล้านบาท (สูงกว่าเป้า 0.47%) แต่เมื่อเทียบกับประมาณการตามเอกสารงบประมาณเดิมแล้ว กลับต่ำกว่าไปถึง 72,100 ล้านบาท หรือต่ำกว่าเป้าถึง 11.8%

การจัดเก็บที่ต่ำกว่าประมาณการตามเอกสารงบประมาณอย่างมีนัยสำคัญมาจากสองหมวดภาษีหลัก โดยอันดับแรกคือ ภาษีรถยนต์ ที่รับผลกระทบจากนโยบายกระตุ้นให้ผู้บริโภคหันไปใช้รถยนต์ไฟฟ้า และยอดขายรถยนต์โดยรวมที่ชะลอตัว รองลงมาคือ ภาษียาสูบ ซึ่งจัดเก็บได้ 47,400 ล้านบาท ต่ำเป้าไป 19.5% ตัวเลขเหล่านี้กำลังชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนถึงความอ่อนแอของฐานรายได้รัฐบาลที่กำลังเป็นเหมือน “ถังน้ำมัน” ที่ใกล้จะว่างเปล่า

รัฐบาลตระหนักถึงปัญหานี้และได้วาง “5 เสาหลัก” เพื่อดึงรถออกจากหล่ม โดยเน้นกลยุทธ์ “กระตุ้นสั้น ได้ผลยาว และกระจายตัว” ซึ่งหลักการฟังดูดี แต่เมื่อพิจารณาอย่างถี่ถ้วนจะพบข้อสังเกตสำคัญว่า มีความมุ่งมั่นในการ “เหยียบคันเร่ง” กระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการใช้จ่าย (Demand Side) สูงมาก ผ่านโครงการเรือธงอย่าง “คนละครึ่งพลัส” ที่เป็นการอัดฉีดกำลังซื้อเข้าสู่ระบบอย่างรวดเร็ว โดยรัฐมนตรีคลังยืนยันชัดเจนว่าจะไม่ตรวจสอบภาษีย้อนหลังสำหรับร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการ เพื่อสร้างแรงจูงใจให้คนเข้าระบบและกระตุ้นความคึกคักในกลุ่มผู้ค้ารายย่อย ซึ่งเหมาะกับภาวะฉุกเฉินที่มุ่งสร้างเงินหมุนเวียน แต่คำถามคือ หากหมดช่วงโปรโมชันนี้แล้ว เศรษฐกิจจะไปต่อได้อย่างไรด้วยตัวเองไม่ใช่จากแรงกระตุ้นชั่วคราว

เมื่อมองไปยัง 5 เสาหลัก จะเห็นว่า “เสาหลัก” ที่ควรเป็นรากฐานระยะยาว กลับกลายเป็นเพียง “เสาขนาดเล็ก” ที่ยังพึ่งพาการใช้เงินกระตุ้นเป็นหลัก ไม่ว่าจะเป็นการพยุงและเพิ่มสภาพคล่องให้กับลูกหนี้และ SME ซึ่งเป็นการช่วยเหลือที่จำเป็น แต่ไม่ได้เพิ่มความสามารถในการแข่งขันระยะยาว ไปจนถึงการสนับสนุนหวยเกษียณที่เป็นเพียงการส่งเสริมการออม ไม่ใช่การเพิ่มรายได้ให้กับรัฐบาล มีเพียงการยกระดับแรงงาน Reskill/Upskill เท่านั้นที่ดูจะเป็นการสร้างรากฐานระยะยาว แต่กลับถูกจัดสรรงบประมาณเพียง 10,000 ล้านบาทจากกองทุน BOI เท่านั้น เห็นได้ว่าเสาหลักทั้งหมดนี้แม้จะตอบโจทย์โครงสร้างที่สำคัญ เช่น การย้ายฐานการลงทุน การขาดแคลนแรงงานที่มีทักษะ และการปรับตัวเข้าสู่ยุคดิจิทัลและโลกสีเขียว (CBAM) แต่กลับไม่สามารถเป็นแหล่งรายได้ภาษีใหม่ ๆ ที่โดดเด่น

หากเศรษฐกิจไทยคือรถที่ติดหล่มจริง การแก้ปัญหาต้องใช้ทั้ง “แรงส่ง” หรือ การกระตุ้นระยะสั้น เช่น “คนละครึ่งพลัส” ซึ่งเป็นแรงส่งที่จำเป็นในการดึงรถออกจากโคลน แต่รัฐบาลต้องไม่ลืม “เชื้อเพลิงใหม่” ที่จะวางรากฐานเพื่อเพิ่มรายได้ให้กับประเทศอย่างยั่งยืน แทนที่จะพึ่งพาการกู้หรือเงินคงคลังไปเรื่อย ๆ รัฐบาลกำลังเหยียบคันเร่ง (กระตุ้นการใช้จ่าย) จนมิดเพื่อดึงรถออกจากหล่ม แต่ในขณะเดียวกันก็กำลังปล่อยให้ “ถังน้ำมัน” (ฐานภาษีและศักยภาพการผลิต) แห้งเหือด เพราะความกังวลในการแตะต้องประเด็นที่อ่อนไหวอย่างการจัดเก็บภาษีอย่างเป็นระบบ

ทางออกที่ยั่งยืนคือ รัฐบาลต้องแสดงความกล้าหาญในการปฏิรูปฐานภาษีที่สามารถให้ผลได้ในระยะยาว การปฏิรูประบบภาษีถือเป็นหัวใจสำคัญของการสร้างรากฐานเศรษฐกิจไทยให้มั่นคงและยั่งยืน รัฐบาลควรนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและความโปร่งใสในกระบวนการจัดเก็บภาษี โดยเริ่มจากการปฏิรูปฐานภาษีเงินได้ทั้งบุคคลธรรมดาและนิติบุคคล ด้วยการเชื่อมโยงข้อมูลรายได้จากหลากหลายแหล่งเพื่อลดการเลี่ยงภาษี และขยายฐานผู้เสียภาษีให้ครอบคลุมแรงงานนอกระบบและธุรกิจออนไลน์ ในขณะเดียวกันควรขยายฐานการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ไปยังสินค้าและบริการที่ยังไม่ได้อยู่ในระบบ เช่น ธุรกิจอีคอมเมิร์ซ พร้อมทั้งพิจารณาปรับอัตรา VAT ให้เหมาะสมกับสภาพเศรษฐกิจและความต้องการรายได้ของรัฐ เพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งทางการคลัง

สำหรับด้านภาษีสรรพสามิตที่ลดลง โดยเฉพาะจากภาษียาสูบ รัฐบาลควรปรับโครงสร้างภาษีให้เป็นธรรมและสอดคล้องกับมาตรฐานสากล โดยใช้ระบบอัตราเดียว (Single Rate) ร่วมกับเทคโนโลยีดิจิทัลและการบังคับใช้กฎหมาย เพื่อลดปัญหาสินค้าหนีภาษีและตลาดมืด นอกจากนี้ การเร่งจัดเก็บภาษีคาร์บอนหรือภาษีสิ่งแวดล้อมจะช่วยสร้างรายได้ใหม่และตอบรับแนวโน้มเศรษฐกิจสีเขียว เป็นแรงจูงใจให้ภาคธุรกิจปรับตัวสู่ความยั่งยืน สุดท้าย การปฏิรูปภาษีทรัพย์สินและที่ดินโดยปรับปรุงกระบวนการประเมินมูลค่าให้ทันสมัยและเป็นธรรม จะช่วยลดความเหลื่อมล้ำและเพิ่มรายได้ประจำให้กับท้องถิ่น

แนวทางเหล่านี้จะช่วยให้ระบบภาษีไทยมีความทันสมัย โปร่งใส และรองรับการเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะยาว ซึ่งเป็น “เชื้อเพลิงใหม่” ที่จะทำให้เศรษฐกิจไทยขับเคลื่อนไปได้อย่างมั่นคง ไม่ต้องเสี่ยง “ติดหล่ม” ซ้ำแล้วซ้ำอีก หากรัฐบาลยังคงเน้นแค่การ “กระตุ้นสั้น” โดยขาด “การปฏิรูปยาว” และไม่กล้าที่จะสร้างแหล่งรายได้ภาษีใหม่ ๆ รถที่เรียกว่าเศรษฐกิจไทยอาจจะหลุดออกจากหล่มได้ชั่วคราว แต่ก็จะวิ่งไปได้ไม่ไกลนัก ก่อนที่น้ำมันจะหมดถังและติดหล่มรอบใหม่ที่ลึกกว่าเดิม วินัยการคลังที่รัฐบาลพูดถึงจะมีความหมายก็ต่อเมื่อมันมาพร้อมกับแผนการสร้างรายได้ที่ชัดเจน ไม่ใช่แค่การจัดการหนี้เท่านั้น อย่าให้เกิดภาวะ “ได้สั้น ๆ ” แต่ “พลาดยาว ๆ ” เลย