วันอาทิตย์, 3 สิงหาคม 2025 | 6 : 08 am
วันอาทิตย์, 3 สิงหาคม 2025 | 6:08 am

“สฤษฏ์พงษ์” ยื่นญัตติด่วน จี้รัฐสภา ยกเลิก MOU 43-44 ไทย-กัมพูชา กระทบต่ออธิปไตยและผลประโยชน์ชาติ

“สฤษฏ์พงษ์” ยื่นญัตติด่วน จี้รัฐสภา ยกเลิก MOU 43-44 ไทย-กัมพูชา กระทบต่ออธิปไตยและผลประโยชน์ชาติ

“สฤษฏ์พงษ์” ยื่นญัตติด่วน ขอรัฐสภา ยกเลิก MOU 43-44 ไทยทำร่วมกับกัมพูชา อ้าง! กระทบต่ออธิปไตยและผลประโยชน์ของชาติ อีกทั้งยังมีข้อสังเกตสำคัญ บันทึกความเข้าใจบางฉบับไม่ได้ผ่านการให้ความเห็นชอบจากรัฐสภาตามที่รัฐธรรมนูญบัญญัติไว้ และ ชี้ การคงไว้ซึ่งข้อตกลงที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายอาจนำไปสู่การสูญเสียโอกาสในการปกป้องอธิปไตยและการใช้ทรัพยากรของตนอย่างเต็มรูปแบบในระยะยาว

นายสฤษฏ์พงษ์ เกี่ยวข้อง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พรรคภูมิใจไทย กล่าวว่า เมื่อ 30 กรกฎาคม 2568 ที่ผ่านมาตนได้เสนอญัตติด่วน เรื่อง ขอให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณาดำเนินการยกเลิกบันทึกความ (Memorandum of Understanding : MOU) ฉบับที่ 43 และฉบับที่ 44  ระหว่างประเทศไทยกับประเทศกัมพูชา เนื่องจากสถานการณ์ปัจจุบันเป็นที่ปรากฏว่าบันทึกความเข้าใจ (Memorandum of Understanding :U) ฉบับที่ 43 (ว่าด้วยแนวเขตทางบก) และฉบับที่ 44 (ว่าด้วยเขตทางทะเล) ซึ่งประเทศไทยทำร่วมกับประเทศกัมพูชา โดยเฉพาะในประเด็นที่เกี่ยวกับเขตแดน พื้นที่ทับช้อนทางทะเล และทรัพยากรธรรมชาติรวมไปถึงการอนุญาตให้มีการสำรวจและแสวงหาประโยชน์ในพื้นที่เขตทับซ้อนทางทะเลระหว่างสองซึ่งบันทึกความเข้าใจดังกล่าวได้กลายเป็นข้อถกเถียงทางสังคมและการเมืองในประเทศไทยมาโดยตลอด ส่งผลกระทบต่ออธิปไตยและผลประโยชน์ของประเทศไทย อีกทั้งยังมีข้อสังเกตสำคัญว่า บันทึกความเข้าใจบางฉบับไม่ได้ผ่านการให้ความเห็นชอบจากรัฐสภาตามที่รัฐธรรมนูญบัญญัติไว้ ควรนำเข้าสู่กระบวนการรัฐสภาตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย เนื่องจากทางหลักการตามรัฐธธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 178 ได้บัญญัติไว้อย่างชัดเจนว่า “สนธิสัญญาหรือข้อตกลงระหว่างประเทศที่มีผลกระทบต่ออธิปไตยของรัฐ การเปลี่ยนแปลงเขตแดน หรือมีผลผูกพันด้านบประมาณของรัฐ จะต้องได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภาก่อนการลงนาม” ดังนั้น การดำเนินการใด ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการกำหนดพื้นที่ทับซ้อน หรือการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรในพื้นที่ที่ยังไม่ได้ตกลงกันอย่างชัดเจน ย่อมเข้าข่ายที่จะต้องผ่านการพิจารณาของรัฐสภาเช่นกัน หากมีการดำเนินการหรือการกระทำตามบันทึกความเข้าใจ (Memorandum of Understanding : MOU) ฉบับที่ 43 และฉบับที่ 44 ที่ยังไม่ได้รับความเห็นชอบของรัฐสภา อาจถือได้ว่าการกระทำดังกล่าวไม่ขอบด้วยบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ

นอกจากนี้ ยังมีข้อสังเกตเกี่ยวกับการคงไว้ซึ่งบันทึกความเข้าใจ (Memorandum of Understanding : MOU) ฉบับที่ 43  และฉบับที่ 44 ที่อาจก่อให้เกิดการตีความในทางที่เสียเปรียบแก่ประเทศไทย ทั้งในแง่ของการยอมรับพื้นที่ทับข้อนอย่างถาวร หรือการเปิดทางให้ต่างชาติแสวงหาผลประโยชน์ร่วมในทรัพยากรธรรมชาติของประเทศ โดยเฉพาะในบริเวณพื้นที่ทับช้อนทางทะเลซึ่งเป็นแหล่งพลังงานและทรัพยากรที่สำคัญ ดังนั้น การคงไว้ซึ่งข้อตกลงที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายอาจนำไปสู่การสูญเสียโอกาสในการปกป้องอธิปไตยและการใช้ทรัพยากรของตนอย่างเต็มรูปแบบในระยะยาว ดังนี้

1. การยอมรับพื้นที่ทับช้อนโดยพฤตินัย โดยวิธีการลงนามบันทึกความเข้าใจที่มีสาระว่า ประเทศไทยและประเทศกัมพูชามี “พื้นที่ทับช้อนทางทะเล” อาจส่งผลให้ประเทศไทยยอมรับว่าเกี่ยวกับเขตแดน ทั้งที่ในบางมุมมองทางกฎหมายไทยถือว่าพื้นที่นั้นอยู่ในอธิบไตยของประเทศไทยโดยสมบูรณ์ การยอมรับเช่นนี้อาจเป็นข้อเสียเปรียบในอนาคตเมื่อมีการเจรจาแบ่งผลประโยชน์หรือจัดทำเขตแดนถาวร

2. การดำเนินการตามบันทึกความเข้าใจอาจส่งผลเปิดทางให้ต่างชาติเข้ามาแสวงหาผลประโยชน์ร่วม โดยไม่กำหนดสัดส่วนชัดเจน การอนุญาตให้มีการร่วมสำรวจพลังงานในพื้นที่ทับช้อนโดยที่ยังไม่มีการกำหนดสัดส่วนหรือข้อตกลงที่เป็นธรรม อาจทำให้ประเทศไทยได้รับผลประโยชน์น้อยกว่าที่ควรจะได้ โดยเฉพาะกรณีการให้สัมปทานสำรวจพลังงานในเขตทับซ้อน

3. กระทบต่อความมั่นคงและอธิปไตยในทะเล บันทึกความเข้าใจอาจกลายเป็นช่องทางที่อีกฝ่ายใช้เป็นหลักฐานสนับสนุนข้อเรียกร้องต่อองค์กรระหว่างประเทศในอนาคต เช่น ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (Intemational Court of Justice : ICJ) หรือคณะกรรมาธิการเขตแดนทะเล ทำให้ประเทศไทยเสียเสียเปรียบด้านเอกสารและข้อเท็จจริง

4. ไม่มีการเผยแพร่ต่อประชาชนและไม่มีการตรวจสอบ การทำข้อตกลงในลักษณะบันทึกความเข้าใจที่ไม่เปิดเผยและไม่ผ่านกลไกรัฐสภา อาจขาดความโปร่งใสและขาดการมีส่วนร่วมของประชาชนในเรื่องที่เกี่ยวกับผลประโยชน์ของประเทศ นอกจากนี้ การขาดความโปร่งใส่ในการจัดทำและเปิดเผยบันทึกความเข้าใจต่อสาธารณะ ยังทำให้ประชาชนชาดความมั่นใจในเจตนารมณ์ของรัฐ และส่งผลต่อเสถียรภาพของรัฐบาล ทั้งยังเปิดช่องให้เกิดข้อสงสัยในเชิงนโยบายด้านความมั่นคงและยุทธศาสตร์ทางทะเลในภูมิภาคนี้อย่างกว้างขวาง หากมีการยกเลิกข้อตกลงทั้งสองฉบับอย่างเป็นทางการ ไม่เพียงแต่จะช่วยลดความเสี่ยงในอนาคต แต่ยังแสดงให้เห็นถึงจุดยืนของประเทศไทย ในการปกป้องอธิบไตย การยึดมั่นในรัฐธรรมนูญ และความชอบธรรมในเวทีระหว่างประเทศ อนึ่ง การยกเลิกบันทึกความเข้าใจ (Memorandum of Understanding : MOU) ฉบับที่ 44 เดิมเป็นข้อตกลงเขตทับซ้อนทางทะเล ระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลกัมพูชา จัดทำขึ้นในปี พ.ศ. 2544 ซึ่งเคยถูกยกเลิกโดยมติคณะรัฐมนตรีในรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เมื่อปี พ.ศ. 2552 โดยให้เหตุผลว่า “ประเทศไทยไม่สามารถดำเนินการตามข้อตกลงได้ เนื่องจากมีผลกระทบต่ออธิปไตยของชาติและไม่ผ่านรัฐสภา” อย่างไรก็ตาม ยังมีความคลุมเครือในทางปฏิบัติว่าการยกเลิกดังกล่าวมีผลสิ้นสุดในทางกฎหมายจริงหรือไม่ หรือมีการกลับมาใช้ใหม่ภายหลังในบางส่วนโดยไม่ได้ประกาศเป็นทางการ ซึ่งกรณีดังกล่าวเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับประโยชน์สำคัญของแผ่นดิน มีความจำเป็นรีบด่วนในอันที่จะรักษาความสงบเรียบร้อย และความมั่นคงของประเทศ