ผู้ใช้บุหรี่ไฟฟ้าทวงถามสิทธิผู้บริโภค ลั่น “บุหรี่ไฟฟ้า” เป็นเครื่องมือทางการเมือง


ผู้ใช้บุหรี่ไฟฟ้าตั้งข้อสงสัยต่อข้อเสนอของคณะกรรมาธิการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้รับทราบ เมื่อวันที่ 28 ตุลาคม 2568 เกี่ยวกับแนวทาง “แบน” บุหรี่ไฟฟ้าเพื่อปกป้องสิทธิด้านสุขภาพของชาวไทย โดยย้ำว่าอย่าเห็นบุหรี่ไฟฟ้าเป็นเครื่องมือทางการเมือง และละเลยการคุ้มครองสิทธิผู้ใช้บุหรี่ไฟฟ้าที่เป็นผู้บริโภคในการเข้าถึงผลิตภัณฑ์ทางเลือกที่มีอันตรายน้อยกว่ามติครม. ดังกล่าวเกิดขึ้นหลัง กสม. เสนอให้มีการจัดการบุหรี่ไฟฟ้าในประเทศอย่างเข้มงวด เพื่อปกป้องสิทธิด้านสุขภาพของประชาชน เนื่องจากพบการระบาดหนักในกลุ่มเด็กและเยาวชน โดยเน้นไปที่การ “แบน” ห้ามนำเข้า ห้ามจำหน่าย ห้ามทำการตลาด และปิดช่องว่างทางกฎหมายใน พ.ร.บ. ควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบ 2560 ให้ครอบคลุมสินค้ารูปแบบใหม่และการขายออนไลน์นายอาสา ศาลิคุปต แกนนำกลุ่มลาขาดควันยาสูบ (ECST) ได้ออกมาโต้แย้งมตินี้ โดยชี้ว่าบุหรี่ไฟฟ้ากำลังถูกใช้เป็น “เครื่องมือสร้างภาพทางการเมือง” เพื่อสร้างผลงานให้รัฐบาลมากกว่าจะทำเพื่อปกป้องสิทธิประชาชนอย่างแท้จริง นายอาสาเปรียบเทียบกับสมัยรัฐบาลเพื่อไทยว่า “ในยุครัฐบาลที่แล้วก็มีการปราบปรามบุหรี่ไฟฟ้าอย่างเข้มงวด นำเสนอข่าวทุกวัน แม้แต่การจับกุมชิ้นเดียวก็เป็นข่าวใหญ่ได้ การที่รัฐบาลชุดนี้ที่เข้ามาในช่วงเปลี่ยนผ่านเพียงไม่กี่เดือน นำนโยบายเก่า ๆ กลับมารีไซเคิล และบุหรี่ไฟฟ้าก็เป็นหนึ่งในนั้น สะท้อนว่านี่คือการหาทางสร้างผลงานทางการเมืองแบบเดิม ๆ แต่ไม่แก้ปัญหาในระยะยาว”นายอาสาตั้งคำถามถึงบทบาทของ กสม. ในครั้งนี้ว่า “ใครอยู่เบื้องหลังการผลักดันประเด็นนี้” และเหตุใดถึงให้คณะกรรมการไม่กี่คนที่ไม่ยึดโยงกับประชาชนมาตัดสินใจในเรื่องที่มีผลต่อชีวิตคนเกือบ 10 ล้านคน ในเมื่ออ้างว่าอยากปกป้องสิทธิด้านสุขภาพของประชาชน แต่ทำไมกลับเพิกเฉยต่อสิทธิของผู้สูบบุหรี่ที่จะได้เข้าถึงผลิตภัณฑ์ทางเลือกที่หลายประเทศยอมรับว่ามีอันตรายน้อยกว่า และถูกควบคุมอย่างถูกกฎหมายแล้วใน 91 ประเทศทั่วโลกนอกจากนี้ นายอาสายังชี้ให้เห็นว่า “สภาผู้แทนราษฎรเคยให้ความเห็นชอบรายงานจากคณะกรรมาธิการวิสามัญที่ศึกษาเรื่องบุหรี่ไฟฟ้า ซึ่งเป็นคณะที่รวบรวมความเห็นจากทั้งฝ่ายสนับสนุน ฝ่ายสุขภาพ ทุกพรรคการเมืองทั้งฝ่ายค้านและรัฐบาล ที่เสียงส่วนใหญ่สนับสนุนให้มีการควบคุมบุหรี่ไฟฟ้าอย่างถูกต้องตามกฎหมายภายใต้มาตรการที่เข้มงวด เพราะทุกคนก็อยากปกป้องเด็กและเยาวชน ซึ่งได้ผ่านการรับรองจากสภาฯ ส่งต่อให้ ครม. ตั้งแต่เดือนมีนาคมแล้ว แต่กลับถูกดองไว้อย่างเงียบเชียบ ขณะเดียวกันข้อเสนอของ กสม. กลับลัดคิวเข้าพิจารณาในชั้น ครม. ได้อย่างรวดเร็วผิดปกติ ซึ่งหาก ครม. พิจารณาข้อเสนอแบนแล้ว ก็ควรพิจารณาข้อเสนอของ กมธ. ที่ศึกษามาเป็นปีด้วย เพื่อให้เป็นการพิจารณาเพื่อปกป้องสิทธิมนุษยชนอย่างแท้จริง”นายอาสาสรุปทิ้งท้ายอย่างหนักแน่นว่า ตราบใดที่รัฐบาลทุกสมัยยังคงเห็นบุหรี่ไฟฟ้าเป็นเพียง “เครื่องมือทางการเมือง” เอาไว้จับโชว์ สร้างภาพว่าเป็นรัฐบาลที่มีความสามารถใส่ใจสังคม โดยไม่ยอมควบคุมอย่างถูกต้องและคุ้มครองสิทธิทั้งของผู้สูบบุหรี่และไม่สูบสูบบุหรี่ บุหรี่ไฟฟ้าก็จะไม่มีทางถูกจัดการอย่างเหมาะสมได้ เพราะยิ่งปราบปราม ตลาดมืดก็จะยิ่งเข้ามามากขึ้น เพราะตราบใดที่ยังมีความต้องการ ตลาดมืดก็จะปรับตัวหาช่องทางใหม่ ๆ ให้ของมีอยู่ในไทยได้ตลอด สุดท้ายก็ไม่สามารถควบคุมคุณภาพผลิตภัณฑ์ กลับยิ่งส่งผลร้ายต่อสุขภาพ สังคม และเศรษฐกิจของประเทศ
