วันพฤหัสบดี, 11 กันยายน 2025 | 4 : 52 am
วันพฤหัสบดี, 11 กันยายน 2025 | 4:52 am

กอ.รมน. และ วช. สานต่อกลไกการยกระดับคุณภาพชีวิตและรายได้ภาคประชาชน MOUสร้างชุมชนเข้มแข็งด้วยงานวิจัยและนวัตกรรม

กอ.รมน. และ วช. สานต่อกลไกการยกระดับคุณภาพชีวิตและรายได้ภาคประชาชน MOUสร้างชุมชนเข้มแข็งด้วยงานวิจัยและนวัตกรรม

วันที่ 9 กันยายน 2568 กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร(กอ.รมน.) ร่วมกับ สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ(วช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม จัดพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือการใช้ประโยชน์องค์ความรู้จากผลงานวิจัยและนวัตกรรมเพื่อการพัฒนาเชิงพื้นที่ : ชุมชนเข้มแข็งด้วยวิจัยและนวัตกรรม ณ ห้องประชุม ชั้น 3 อาคารรื่นฤดี กอ.รมน.

พิธีลงนามครั้งนี้ได้รับเกียรติจาก พลเอก ธงชัย รอดย้อย เลขาธิการ กอ.รมน. และ ดร.วิภารัตน์ ดีอ่อง ผู้อำนวยการสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ เป็นผู้ลงนามในบันทึกข้อตกลง โดยมีผู้บริหารร่วมเป็นสักขีพยาน ได้แก่ พลโท ชัยพฤกษ์ ด้วงประพัฒน์ รองเลขาธิการ กอ.รมน. พลโท สุรพงษ์ อยู่พร้อม ผู้อำนวยการสำนักนโยบายและยุทธศาสตร์ความมั่นคง กอ.รมน. พลโท พิชิตพล แจ่มจำรัส ผู้อำนวยการศูนย์ประสานการปฏิบัติที่ 1 กอ.รมน. พลโท ณรงค์ สวนแก้ว ผู้อำนวยการศูนย์ประสานการปฏิบัติที่ 2 กอ.รมน. พลโท ชนินทร์ สิงหนาทนิติรักษ์ ผู้อำนวยการศูนย์ประสานการปฏิบัติที่ 3 กอ.รมน. พลโท จิรวัฒน์ พันธ์สวัสดิ์ ผู้อำนวยการศูนย์ประสานการปฏิบัติที่ 4 กอ.รมน. พลโท สุรเทพ หนูแก้ว ผู้อำนวยการศูนย์ประสานการปฏิบัติที่ 5 กอ.รมน. และ นางสาวภาวณี คำชาลี ผู้อำนวยการกองส่งเสริมและสนับสนุนการวิจัยและนวัตกรรม วช. รวมทั้งผู้บริหาร วช. ผู้ทรงคุณวุฒิจาก วช. ร่วมเป็นสักขีพยาน

พลเอก ธงชัย รอดย้อย เลขาธิการกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร กล่าวว่า ในการลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือเพื่อการใช้ประโยชน์จากองค์ความรู้ ผลงานวิจัยและนวัตกรรมในการพัฒนาเชิงพื้นที่ ผมรู้สึกเป็นเกียรติและมีความยินดีอย่างยิ่งที่ได้มาร่วมพิธีในครั้งนี้ ภายใต้แนวคิด “ชุมชนเข้มแข็งด้วยงานวิจัยและนวัตกรรม” ระหว่าง กอ.รมน. และ วช. การลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือระหว่าง กอ.รมน. และ วช. ได้จัดขึ้นแล้ว 2 ครั้งในรอบ 6 ปีที่ผ่านมา โดยมีการส่งมอบผลงานวิจัยและนวัตกรรมเพื่อการพัฒนาชุมชน ทั้งด้านการสร้างรายได้ การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม และการป้องกันแก้ไขปัญหาความมั่นคงในพื้นที่ ซึ่งครอบคลุมทั้ง 77 จังหวัดทั่วประเทศ จากผลสำเร็จที่ผ่านมา กอ.รมน. เล็งเห็นถึงความสำคัญในการสานต่อความร่วมมือกับ วช. เพื่อสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ เสริมสร้างสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืน และแก้ไขปัญหาในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้ ซึ่งจะนำไปสู่ความมั่นคงของชาติในระยะยาวตามแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ต่อไป

ดร.วิภารัตน์ ดีอ่อง ผู้อำนวยการสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ กล่าวว่า วช. ภายใต้กระทรวง อว. ได้ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือกับ กอ.รมน. ระยะที่ 3 เพื่อขับเคลื่อนการใช้ประโยชน์งานวิจัยและนวัตกรรมในการพัฒนาเชิงพื้นที่ ภายใต้แนวคิด “ชุมชนเข้มแข็งด้วยวิจัยและนวัตกรรม” ตลอด 6 ปีที่ผ่านมา ความร่วมมือดังกล่าวช่วยให้ชุมชนในพื้นที่ดูแลของ กอ.รมน. มีการพัฒนาคุณภาพชีวิต อาชีพ รายได้ การจัดการทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม รวมถึงสร้างภูมิคุ้มกันทางสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ถือเป็นกลไกสำคัญในการแก้ปัญหาเชิงพื้นที่โดยชุมชนเป็นศูนย์กลางการดำเนินงานในระยะต่อไป วช. และภาคีวิจัยจะสนับสนุน กอ.รมน. ผ่านแนวทางสำคัญ ได้แก่

1.การบูรณาการเครือข่ายนักวิจัยและสถาบันการศึกษา ในการเชื่อมโยงองค์ความรู้ เทคโนโลยี และนวัตกรรม เพื่อให้ตอบโจทย์ตามบริบทความต้องการของแต่ละพื้นที่

2.การคัดเลือกและพัฒนานวัตกรรมที่เหมาะสมกับบริบทพื้นที่ ไม่ว่าจะเป็นด้านการเกษตร การจัดการทรัพยากรน้ำ การยกระดับคุณภาพผลิตภัณฑ์ชุมชน การจัดการภัยพิบัติ รวมถึงการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจและสังคม และประเด็นด้านอื่น ๆ ที่เป็นปัญหาของพื้นที่ชุมชน

ทั้งนี้ วช. จะร่วมกับ กอ.รมน. ในการติดตามผลและต่อยอดรูปแบบกระบวนการสร้างชุมชนเข้มแข็งให้สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน พร้อมขอบคุณ กอ.รมน. และทุกภาคส่วนที่สนับสนุนความร่วมมือครั้งนี้

ในโอกาสนี้ วช. ได้ส่งมอบนวัตกรรมต้นแบบให้แก่ กอ.รมน. และชุมชนเป้าหมาย ได้แก่ “ระบบบรรจุขวดแบบรักษาระดับแรงดันพร้อมถังสำรองลดอุณหภูมิผลิตภัณฑ์ร่วมกับปิดฝาแบบกึ่งอัตโนมัติ” และ “ชุดการแปรรูปผลิตภัณฑ์จากข้าวและกล้วยน้ำว้า เพื่อการพัฒนาเบเกอรี่ที่เหมาะสมและยั่งยืน” ให้กับตัวแทนแต่ละชุมชน ซึ่งนวัตกรรมดังกล่าวจะช่วยเพิ่มมูลค่าผลผลิตทางการเกษตร สร้างรายได้ และเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับเศรษฐกิจฐานราก

ถัดมาเป็นการนำเสนอผลิตภัณฑ์จากชุมชน อาทิ วิสาหกิจชุมชนหมูหลุมอินทรีย์ ตำบลดอนแร่ จังหวัดราชบุรี วิสาหกิจชุมชนบ้าน 7 หลังพาเพลิน จังหวัดสระแก้ว และชุดการแปรรูปผลิตภัณฑ์จากข้าวและกล้วยน้ำว้า เพื่อการพัฒนาการผลิตเบเกอรี่ให้มีความเหมาะสมและได้มาตรฐาน เป็นต้น ซึ่งทั้งหมดนี้สะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพของชุมชนในการต่อยอดภูมิปัญญาท้องถิ่นสู่การสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ที่มีคุณค่าและสามารถแข่งขันได้ในเชิงพาณิชย์

การลงนาม MOU ครั้งนี้ เป็นการผสานพลังความรู้วิจัยและนวัตกรรม ที่จะนำไปสู่การสร้างชุมชนไทยให้เข้มแข็ง มั่นคง และยั่งยืน