นายบุณรวี ยมจินดา หัวหน้าพรรครวมใจไทย หรือ fc รู้จักเจ้าของรายการ “ข่าวทะลุไมค์” ทางช่องยูทูบ ได้นำทีมงานอาสาแก้ไขปัญหาคาราคาซังของประชาชน อาทิ พล.ต.ท. อัตชัย ดวงอัมพร รองหัวหน้าพรรครวมใจไทย, วรรณภรณ์ บัวเพ็ชร์, ชัยธรณ์ ยมจินดา, ธัญรดา ชูจิดารมย์, พลตรี ฉัตรมงคล เกิดปั้น, ชาตรี ไทยทัต, เกรียงไกร ใหญ่กระโทก, วาสนา แต้มพุดซา, นนท์ สนั่นวัฒนานนท์, ธนัชชนม์ สุนทรศิลป์ชัย, โชคชัย อินทรประเสริฐ, มูฮำหมัดมุขตาร์ คาเร็ง และ ปริญญา ทิพยานนท์ ได้เดินทางมายื่นรายชื่อสมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อหรือปาร์ตี้ลิสต์ ในวันอังคารที่ 4 เมษายน 2566 ณ อาคารไอราวัตพัฒนา ณ ศาลาว่าการกรุงเทพฯ เขตดินแดน โดย บุณรวี ยมจินดา หัวหน้าพรรครวมใจไทย ได้กล่าวถึงนโยบายของพรรคว่า
“จุดมุ่งหมายในการก้าวเข้ามาเล่นการเมืองเพื่อแก้ปัญหา เพราะว่าที่ผ่านมาแก้กันไม่ถูกจุด อย่างเช่น นโยบายที่เราเสนอไปตอนนี้ก็คือ เรื่องที่ 1. น้ำมันแพง ไฟฟ้าแพง แก๊สแพง เพราะมันไม่ได้เป็นของประชาชน ที่นี่เราบอกยึดอย่างเดียวให้รัฐทำเองแบบ เอามาตั้งบริษัทพลังงานไทยกำไรแบ่งให้ประชาชน เหมือนโมเดลอลาสก้า ของสหรัฐอเมริกา หรือโมเดล ฟินแลนด์ เขาทำแล้วประสบความสำเร็จฮะ
ถ้าเราทำแบบนั้นมันจะแก้ปัญหาหมด น้ำมันจะราคาถูกเท่ามาเลเซีย ที่น้ำมันดีเซล ลิตรละ 17 บาท แล้วก็เบนซินลิตรละ 16 บาท และแก๊สกับไฟฟ้าก็จะถูกกว่า เพราะรัฐเอามาทำเอง รัฐก็ต้องเปิดเสรีในการผลิตไฟฟ้า แต่ทุกวันนี้รัฐบาลอุ้มนายทุน รับซื้อไฟฟ้าจากกลุ่มทุนโซล่าเซลล์ เรียกกว่าซื้อมามากมายก่ายกองจนสะสมไว้เกิน 100 เปอร์เซ็นต์เป็น 150 เปอร์เซ็นต์แล้วก็เอา 50 เปอร์เซ็นต์มาเป็นค่าเอฟทีให้ประชาชนรับผิดชอบ นี่ความยุติธรรมไม่มี แต่ถ้าเปิดเสรี ผมยกตัวอย่างนะ ให้ชาวนาเคยมีที่อยู่ร้อยไร่ปลูกข้าวเจ๊งหมด แต่ถ้าที่ 60 ไร่คุณทำนาไว้กินในประเทศและส่งออก ส่วนอีก 40 ไร่คุณตั้งโซล่าเซลล์เลย แล้วก็ต้องเปิดเสรีให้กับชาวนาหรือใครที่มีที่ดินมีสิทธิ์ที่จะขายไฟให้กับการไฟฟ้าฝ่ายผลิต มันก็จะทำให้การไฟฟ้าถูกลงด้วย พี่น้องประชาชนก็จะได้ใช้ไฟฟรีสำหรับท่านที่มีโซล่าเซลล์ นี่ก็คือจุดหนึ่งที่จะทำให้ค่าไฟลดลง ส่วนภาษีเราก็ตัดไปหมดเพราะเป็นของประชาชนแล้วนี่ น้ำมันตัดไปหมด มันไม่มีภาษีสรรพสามิต ภาษีมูลค่าเพิ่ม หรือภาษีท้องถิ่นทิ้งเราตัดทิ้งไปหมดเนี่ย เมื่อตัดทิ้งไปหมด เรามีผู้บริหารที่สุจริต แน่นอนมันก็มีกำไรแบบในต่างประเทศเขาทำ คุณดูในบรูไนมีกำไรเขาแจกรถประชาชนรถ 1 คันต่อบ้านหนึ่งหลังนะ นี่คือโมเดลที่ยุติธรรมที่สุด เพราะทรัพย์ในดินสินในน้ำทั้งหมดมันเป็นของคนไทยทั้งประเทศ มันถึงเวลาแล้วที่ต้องคืนคนไทยเขา นี่คือหลักใหญ่ ๆ ของพรรค อีกเรื่องหนึ่งก็คือ คลังสินค้า ซึ่งจะสู้กับทุนสามัญ ทุนจีน ต้องตั้งคลังสินค้าทุกอำเภอ แล้วเอาสินค้าราคาประหยัด เพราะรัฐบาลซื้อมันก็ได้ราคาประหยัดอยู่แล้ว ใช่ไหม ภาษีไม่มี พี่น้องประชาชนก็มาอุดหนุนคลังสินค้า ซึ่งจะมีอยู่ทุกอำเภอ ร้านโชห่วยก็จะผุดขึ้นมาอีก แล้วเมื่อน้ำมันราคาถูก ไฟฟ้าถูกเศรษฐกิจมันก็สะพัด คุณต้องแก้ที่พื้นฐาน ถ้าตราบใดที่รัฐบาลไม่แก้ที่พื้นฐานคุณเอาแต่แจกโน้นแจกหนี้ แล้วก็กู้มาแจก ไม่มีทางหรอกครับที่จะลืมตาอ้าปากได้ นี่คือจุดสำคัญที่ผมเข้ามาเล่นการเมือง แต่มีหลายคนถามผมว่า เฮ้ยมึงพรรคเล็กมึงจะสู้เขาไหวเหรอ แต่เราก็หวังว่าสิ่งที่ผมทำประชาชนเริ่มเห็นด้วยมาก ๆ ขอให้เรามีสัก 10-15 เสียง นี่ก็คือเป็นเครื่องมือต่อรองอย่างหนึ่ง เพราะพรรคสองพรรคถ้าคะแนนมันก่ำกึ่งกัน ถ้าเอาพรรครวมใจไทยเข้าไปคุณต้องเอานโยบายผมเข้าไป แต่ถ้าไม่เอานโยบายผมผมก็ไม่เข้าร่วมหรอกครับ ผมไม่อยากเป็นฝ่ายบริหาร คือต้องเอานโยบาย 3 ข้อของพรรครวมใจไทยเข้าไป นโยบายที่ 1. ยึดพลังงานมาเป็นของคนไทยนโยบายที่ 2. คลังสินค้า และ นโยบายที่ 3. ผมก็จะสมัครเป็นเซลของประเทศ นำสินค้าโอทอป สินค้าวิสาหกิจชุมชนบุกไปขายต่างประเทศ สามอย่างแค่นั้นมันก็จะได้เงินเข้าประเทศ
หมายเลขที่จับได้เป็นเลข 23 เป็นเลขวันสำคัญ เช่น วันปิยะมหาราช, วันครบวาระรัฐบาล และเลข 2 ตัวท้ายของเบอร์โทรศัพท์ด้วย ถือเป็นเลขดีของผม”
ด้าน พล.ต.ท. อัตชัย ดวงอัมพร รองหัวหน้าพรรครวมใจไทย กล่าวเสริมถึงนโยบายของพรรคว่า
“กราบเรียนพี่น้องประชาชนและข้าราชการตำรวจนะครับ ผม พล.ต.ท. อัตชัย ดวงอัมพร เป็นรองหัวหน้าพรรครวมใจไทย ก็เป็นหนึ่งในปาร์ตี้ลิสต์พรรค เหตุที่ผมมาร่วมงานกับพี่บุณรวี ยมจินดา เนื่องจากมีความศรัทธาท่านเป็นส่วนตัวก็ได้รับฟังท่านจากรายการข่าวทะลุไมค์ประมาณเกือบสามปีเห็นความตั้งใจจริงของท่านที่จะแก้ปัญหาให้กับประชาชนที่กำลังเดือดร้อนในเรื่องการทำมาหากินนะครับ ส่วนตัวผมเองนั่นผมเป็นอดีตข้าราชการตำรวจ ความตั้งใจของผมหากพรรครวมใจไทยได้เป็นผู้แทนราษฎร ผมก็จะแก้ไขปัญหาของตำรวจ สำหรับปัญหาของตำรวจนั่นมีอยู่หลายเรื่อง เรื่องที่สำคัญก็คือเรื่องของงบประมาณ, เรื่องเกี่ยวกับปัญหาหนี้สินของตำรวจ และเรื่องการแต่งตั้งตำรวจที่ไม่เป็นธรรมนะครับ ดังนั้นผมจะเสนอขอเพิ่มงบประมาณให้ตำรวจ เพื่อให้ตำรวจทำงานกันอย่างสบายใจและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น มันจะส่งผลต่อพี่น้องประชาชน ตำรวจสองแสนกว่าคนดูแลพี่น้องประชาชนหกสิบเจ็ดล้านคน ถ้าตำรวจมีงบประมาณมีขวัญกำลังใจที่ดีก็จะเกิดผลต่อการป้องกันปราบปรามอาชญากรรมและก็มีผลต่อความสงบสุขในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ในเรื่องของปัญหาหนี้สินของตำรวจเป็นเรื่องที่บั่นทอนขวัญกำลังใจของข้าราชการตำรวจ ตำรวจเป็นหนี้เกิดจากการกู้สหกรณ์หรือกู้ธนาคารนะครับ ผมจะเสนอแก้ไขกฎหมายเกี่ยวกับการส่งเสริมสหกรณ์ เพื่อไม่ให้สหกรณ์ออมทรัพย์เอารัดเอาเปรียบตำรวจ เพราะดอกเบี้ยสูงมาก ซึ่งสหกรณ์ออมทรัพย์ของตำรวจหลายแห่งนั้นเป็นแบบนี้ก็อยากจะช่วยแก้ปัญหา และสำหรับเรื่องการแต่งตั้งที่ไม่เป็นธรรมเนี่ย ก็ยิ่งบั่นทอนขวัญกำลังใจข้าราชการตำรวจอย่างมาก เนื่องจากที่ผ่านมามีข้าราชการตำรวจถูกย้ายโดยไม่ทราบสาเหตุ ทำให้ส่วนหนึ่งลาออกไปนะครับ หรือคนที่ทำงานก็ไม่ได้เลื่อนตำแหน่ง ตำรวจเองก็ไม่เข้าใจและมีเข้าสู่ระบบอุปถัมภ์หวังว่าตัวเองจะได้มีความก้าวหน้า ซึ่งเป็นการบั่นทอนขวัญกำลังใจ แต่จริง ๆ แล้วองค์กรตำรวจมีความเสื่อมลงนะครับ ตรงนี้ผมจะแก้ไข พรบ.ตำรวจในเรื่องของการแต่งตั้งตำรวจให้ได้รับความเป็นธรรมมากขึ้นครับ ผมขอฝากพรรครวมใจไทยที่เป็นพรรคฝ่ายประชาธิปไตยอย่างแท้จริงเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงขอพี่น้องประชาชนได้สนับสนุนพรรครวมใจไทยเพื่อเอาน้ำดีไล่น้ำเสีย ซึ่งพี่น้องประชาชนทราบดีและผมก็คิดว่าพี่น้องประชาชนต้องการเปลี่ยนแปลงนะครับ ให้เราเข้าไปทำงานครับ”